คู่มือพรีเดียเวล เพิ่มคุณภาพชีวิต พิชิตไตเสื่อม
โภชนบำบัด กับ โรคไตเรื้อรัง
(Nutrition For Pre-Dialysis Patients)
อาหารบำบัดที่ดี ควรมีโปรตีนคุณภาพดีปริมาณต่ำ และมีไขมันอิ่มตัวต่ำ โซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัสต่ำ
โรคของไต (kidney disease)
โรคไตมีอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งชนิดเฉียบพลัน รักษาให้หายขาดได้ เช่น โรคไตอักเสบชนิดเฉียบพลัน(Acute glomerulonephritis) โรคกลุ่มอาการเนโฟรติค(Nephrotic syndrome) อันเป็นโรคที่มีการสูญเสียโปรตีนออกมามากในปัสสาวะ โรคดังกล่าวมีผลให้หน้าที่ของไตเสียไปบ้างแต่เพียงบางส่วน เช่น โรคกลุ่มอาการเนโฟรติคนั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไตยังคงทำหน้าที่ขับถ่ายของเสีย เช่น ยูเรีย(Urea) ทั้งรักษาสมดุลของกรด – ด่าง ของร่างกายได้ตามปกติ แต่เมื่อเกิดโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease) อันเป็นโรคที่หน่วยไตถูกทำลายลงเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าสุดแต่โรคอันเป็นสาเหตุ เช่น เบาหวาน และความดันโลหิตสูง จะเป็นการสูญเสียหน้าที่ของไตในทุกๆ ด้าน (ขับถ่ายของเสีย รักษาสมดุลน้ำและอิเลคโทรไลท์ สังเคราะห์ฮอร์โมน) ย่อมมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างรุนแรง อาทิ มีของเสีย เช่น ยูเรียและกรดยูริคคั่งในร่างกาย ในเลือดจึงมีสารดังกล่าวในระดับสูงกว่าปกติ (BUN > 20 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) มีการเสียสมดุลของกรด-ด่าง (เลือดมีภาวะเป็นกรด) เสียดุลของน้ำและอิเลคโทรไลท์ (ตัวบวมน้ำเพราะมีน้ำและโซเดียมคั่ง) มีภาวะเลือดจาง (เพราะไตสร้างฮอร์โมน อีรีโธปัวอิตัน Erythropoietin ได้น้อยลง) ฯลฯ
โรคไตเรื้อรัง เป็นโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ การบำบัดทั้งด้วยยา (มากมายหลายชนิด) และด้วยอาหาร (ควบคุมสารอาหารหลายชนิด) ก็เพียงชะลอความเสื่อมของไตไว้ได้บ้างเท่านั้น กล่าวคือมีผลให้หน่วยไตถูกทำลายช้าลง ยืดเวลาที่จะต้องเข้าสู่ระยะที่ต้องใช้อุปกรณ์ทดแทนไต เช่น ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) ให้ยาวออกไป หรือการล้างไตผ่านทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) อาจช่วยให้ชีวิต ยืนยาวขึ้นได้บ้าง
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)
เป็นโรคที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ เพราะนับวันจะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกที เพราะเป็นแล้วรักษาให้หายขาดไม่ได้ประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่งมีสาเหตุจากเป็นโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคไตเรื้อรัง
การบำบัดโรคไตเรื้อรังต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากสูงที่สุดในบรรดาโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ จึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ต้องการอุปกรณ์ เช่น เครื่องฟอกเลือด ซึ่งมีราคาแพงต้องการบุคลากรที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ (Nephro-nurse) นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของครอบครัว (ค่ายา ค่าฟอกเลือดฯ) และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย (ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมสัปดาห์ละ 2-3 วัน วันละ 4-5 ชั่วโมง) รวมทั้งครอบครัวอีกด้วย
การวินิจฉัยโรคไตเรื้อรัง
การพบว่ามีไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะก็ดี การพบว่ามีเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ในปัสสาวะ รวมทั้งการตรวจพบว่าไตมีขนาดผิดไปจากปกติ (ปกติ 12x5cm)ก็ดี ล้วนเป็นเครื่องแสดงว่าเนื้อไตถูกทำลายไป มีโรคไตเรื้อรังเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่รีบตั้งต้นให้การรักษา ไตก็จะถูกทำลายไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
บทบาทของการดูแลภาวะโภชนาการผู้ป่วยไตเรื้อรังมีความสำคัญ ทั้งนี้เพราะเป็นหนึ่งในหัวข้อหลักในการป้องกันหรือการชะลอโรคไตเสื่อมเรื้อรังไม่ให้ไปสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย การจำกัดโปรตีนในอาหาร ถือเป็นวิธีหนึ่งที่มีหลักฐานเพียงพอว่าสามารถช่วยชะลอการดำเนินของโรคได้ แต่ในขณะเดียวกันปัญหาที่พบ คือผู้ป่วยรับประทานอาหารไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ทำให้ผู้ป่วยขาดสารอาหาร และเมื่อผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการบำบัดทดแทนไต(ล้างไตหรือฟอกเลือด) อัตราการเจ็บป่วยและอัตราการตาย ของกลุ่มผู้ป่วยที่ขาดสารอาหารจึงสูงกว่าผู้ป่วยที่มีภาวะโภชนาการที่ปกติ!!
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง
ได้แก่ ผู้ที่มีโรคดังต่อไปนี้
- ความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน และควบคุมได้ไม่ดี หรือมิได้ควบคุม
- มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะอยู่บ่อย ๆ
- มีโรคเลือด เช่น atherosclerosis ที่หัวใจ โรคสมองขาดเลือด
- มีโรคถุงน้ำของไตทั้งสองข้าง
- เคยเป็นโรคหลอดเลือดขาวฝอยไตอักเสบ (Glomerulonephritis) เพราะติดเชื้อ โรคไตอักเสบ (nephritic syndrome)
- มีโปรตีน ออกมาในปัสสาวะมาก
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้หากตรวจ(หาโรคไตเรื้อรัง) ครั้งแรกอาจจะไม่พบ ควรตรวจซ้ำทุก 6 เดือน
ระยะต่าง ๆ ของโรคไตเรื้อรัง
ในโรคไตเรื้อรังเมื่อหน่วยไตถูกทำลายลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการขจัดของเสียของไตก็จะลดลงเรื่อย ๆ ยิ่งโรคมีความรุนแรงมากขึ้นเท่าใดความสามารถในการขจัดของเสียของไตก็จะยิ่งลดลงมากเท่านั้น จนเมื่อถึงระยะสุดท้ายที่ผู้ป่วยจะอยู่ได้โดยไม่ฟอกเลือดนั้น ไตทำหน้าที่ขจัดของเสียได้น้อยเหลือเกิน
โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney Disease) ระยะก่อนการบำบัดทดแทนไต (Pre-dialysis) ระยะ 1-5
ระยะที่1 ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นมีการดำเนินของโรค จนถึงระยะสุดท้ายที่ผู้ป่วยจะอยู่ได้โดยไม่ต้องรับการบำบัดทดแทนไต(ระยะที่5) เรียกว่า ระยะก่อนการบำบัดทดแทนไต(Pre-dialysis) เป็นช่วงเวลาที่ยาวที่สุดของการดำเนินโรค และมีผู้ป่วยจำนวนมากที่สุดในบรรดาผู้ป่วยโรคไต (ปัจจุบันประเทศไทยมีประมาณ 6 ล้านคน)
ระยะที่1-2 นับเป็นระยะเริ่มต้น ไตสูญเสียหน้าที่ไปไม่มากนักเพียงไม่ถึง 40% หากวินิจฉัยโรคได้ในระยะนี้ และเริ่มต้นบำบัดอย่างเคร่งครัด จะได้ผลในเชิงชะลอความเสื่อมของไตไว้ได้ดีที่สุด
ระยะที่3-5 นับเป็นระยะที่ไตสูญเสียหน้าที่ไปมากแล้ว (>50%) ปัจจุบันสำหรับประเทศไทยมีผู้ป่วยประมาณ 2 ล้านคน หากเริ่มต้นการบำบัดทั้งด้วยยาและอาหารในระยะนี้จะไม่ได้ผลมากนักในการชะลอความเสื่อม เพราะไตเสื่อมไปมากแล้วแต่จะมีผลช่วยลดปริมาณของเสียในเลือด บรรเทาอาการยูรีเมีย ช่วยให้ผู้ป่วยสบายขึ้นบ้างเท่านั้น จึงควรเผยแพร่ความรู้และกระตุ้นเตือนให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรังไปรับการตรวจวินิจฉัยโรคบ่อยๆ (อย่างน้อยทุก 6เดือน) หากพบว่าเป็นโรคก็จะได้รู้เสียตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะได้เริ่มต้นรับการบำบัด
ทั้งด้วยยาและอาหารอย่างจริงจังเสียตั้งแต่โรคอยู่ในระยะ 1-2 (ไตยังไม่เสื่อมมาก) อันจะยังผลให้ชะลอความเสื่อมของไตไว้ให้ดีที่สุด
ระยะที่5 ไตเสื่อมมากแล้ว ของเสียในเลือด (BUN) จะสูงมากอาจ 100 มก./ดล. ผู้ป่วยเตรียมตัวรับการบำบัดทดแทนไต เช่น รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมหรือใช้น้ำยาฟอกเลือดทางช่องท้องหรือรับการปลูกถ่ายไต
ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยากชะลอให้ถึงเวลาบำบัดทดแทนไตช้าที่สุดคือ อยู่ใน Pre-dialysis stage ให้นานที่สุด จะบังเกิดผลดังกล่าวได้ เมื่อผู้ป่วยจำนวนมากเหล่านี้ จำเป็นจะต้องได้รับความรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและพยายามที่จะปฏิบัติตนทั้งในด้านยาบำบัดและอาหารบำบัดอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ เพื่อว่าจะได้ชะลอเวลาที่เข้าสู่ระยะรับการบำบัดทดแทนไต อันเป็นระยะเวลาที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากทั้งยังมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน อันอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ง่าย ให้ช้าที่สุด
หน้าที่ของไตกับสารอาหาร
เนื่องจากไตมีหน้าที่ในการขับของเสีย โดยเฉพาะไนโตรเจนจากโปรตีน การรักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ และกรดด่าง ดังนั้นเมื่อหน้าที่ไตเสื่อมลงจึงมีความผิดปกติของสมดุลดังกล่าว ในแง่ของสารอาหาร พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังนี้
- โปรตีน เมื่อมีการสูญเสียหน้าที่ของไต จะมีการสะสมของไนโตรเจนที่ได้จากการย่อยสลายโปรตีน เปปไทด์ และกรดอะมิโนในขณะเดียวกัน เมทาบอลิซึมของโปรตีนในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากการที่ไตสูญเสียหน้าที่ทำให้กรดอะมิโนบางชนิดที่เคยเป็นกรดอะมิโนชนิด “ไม่จำเป็น” (Non-Essential Amino Acids; NEAA) เปลี่ยนไปเป็นชนิด “จำเป็น” (Essential Amino Acids; EAA) ตัวอย่างเช่น กรดอะมิโน ไทโรซีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนต้นกำเนิดของธัยรอยด์ฮอร์โมน
- คาร์โบไฮเดรต ในภาวะไตวายร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต เนื่องจากไตมีส่วนสังเคราะห์กลูโคส (gluconeogenesis) ประมาณร้อยละ 20-25 ของร่างกาย และขณะเดียวกันฮอร์โมนอินซูลินมีการเปลี่ยนสภาพที่ท่อไต ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานที่ฉีดอินซูลิน อาจมีความต้องการอินซูลินลดลง หรือในทำนองกลับกันภาวะยูรีเมียอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้มากขึ้น
- ไขมันในเลือดสูง ทั้งนี้เนื่องจากการย่อยสลายไขมันในเลือดจำเป็นต้องใช้เอ็นไซม์ไลโปโปรตีนไลเปส (Iipoproteinlipase activity) ที่จะเกิดการทำงานได้โดยการใช้แคลเซียมเป็นตัวกระตุ้น แต่ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมักจะเกิดสมดุลแคลเซียม ฟอสเฟตผิดปกติ เราจึงเห็นระดับของไขมันทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอลในเลือดผู้ป่วยสูง
- เกลือแร่ในเลือดผิดปกติ ได้แก่ โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม รวมถึงสารอินทรีย์ และ อนินทรีย์ ต่าง ๆ เช่น ธาตุเหล็ก อะลูมินั่ม โฟเลต และวิตามินต่าง ๆ
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หลายชนิดจนเป็นสาเหตุของความผิดปกติอื่นๆ ตามมา เช่น เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็ง พาราธัยรอยด์ฮอร์โมนสูง ทำให้กระดูกเปราะบาง ขาดอีรีโธปัวอีติน ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เป็นต้น
บทบาทของอาหารบำบัดในโรคไตเรื้อรังระยะก่อนบำบัดทดแทนไต
ที่สำคัญที่สุด คือการชะลอความเสื่อมของไต ให้ดำเนินไปช้าที่สุด กล่าวคือช่วยให้หน่วยไตส่วนที่ยังเหลืออยู่ ถูกทำลายลงอย่างช้า ๆ การบำบัดด้วยยาและอาหารอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก ๆ ของโรค จะได้ผลดียิ่งกว่าในระยะที่โรครุนแรงแล้ว หน่วยไตถูกทำลายไปมากแล้ว อย่างไรก็ตามปรากฏว่าผู้ป่วยที่ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ สามารถชะลอความเสื่อมของไตไว้ได้เป็นปี ๆ ทีเดียว
- อาหารที่ชะลอความเสื่อมของไตไว้ได้ ประการแรกต้องมีโปรตีนต่ำ ซึ่งก็จะมีผลให้ของเสีย (เช่น ยูเรีย) มีปริมาณน้อยลง ไตส่วนที่เหลือจะได้ทำงานลดลง มีปัจจัยหลายประการที่อาจมีส่วนเร่งให้ไตเสื่อม การจัดอาหารก็จะมีเป้าหมายเพื่อลดปัจจัยเหล่านั้นด้วย เช่น ภาวะฟอสเฟตสูง โคเลสเตอรอลในเลือดสูง กรดยูริคสูง น้ำตาลสูง และความดันโลหิตสูง
- ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ (ด้วยการจำกัดโซเดียม โพแทสเซียม และน้ำ) ไตปกติทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ให้เป็นปกติอยู่เสมอ เมื่อไตเสื่อมลงขับถ่ายเกลือแร่บางชนิด เช่น โซเดียม โพแทสเซียม ไม่ได้ดังปกติ เกิดการเสียดุล ระดับของเกลือแร่ดังกล่าวในเลือดสูงขึ้น ผู้ป่วยจึงต้องกินอาหารจำกัดเกลือแร่ดังกล่าว และอาจต้องจำกัดน้ำด้วย
- ควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ หรือใกล้เคียงปกติตลอดเวลา ด้วยยาลดความดันโลหิต(แพทย์สั่ง) และด้วยจำนวนอาหารจำกัดโซเดียม ประกอบกับข้อปฏิบัติอื่น ๆ เช่น งดบุหรี่ เหล้า กาแฟ ฯลฯ
บุคคลปกติ ควรจำกัดโซเดียม 2,000-3,000 มิลลิกรัม /วัน ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือบวม ต้องจำกัดโซเดียมให้ <2,000 มิลลิกรัม /วัน ภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไตเสื่อม ผู้ป่วยไตเรื้อรังควรให้ความสำคัญในการบำบัด ทั้งด้วยยาลดความดัน และอาหารจำกัดโซเดียม และควรหมั่นตรวจสอบ ความดันโลหิต เป็นประจำสม่ำเสมอ - ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย (ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวานเป็นเหตุให้เกิดโรคไตเรื้อรัง) จะต้องจัดอาหารเพื่อบำบัดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (คือรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติหรือใกล้ปกติตลอดเวลา)
- บำบัดหรือบรรเทาความแปรปรวนในด้านเมตาบอลิซึม เช่นภาวะไขมันในเลือดสูง(dyslipidemia) เพื่อควบคุมระดับไขมันในเลือดให้เป็นปกติอาจมีความแปรปรวนทุกอย่างหรือมีเพียงบางอย่าง ยิ่งมีความผิดปกติมากเท่าใด ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจรวมถึงภาวะไตเสื่อมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
- แก้ไขบรรเทาภาวะฟอสเฟตสูง(hyperphosphatemia) ที่เกิดร่วมกับโรคไตเรื้อรังที่ไม่ได้รับการบำบัด ก่อให้เกิดผลเสียหลายประการ อาทิ เป็นเหตุสำคัญทำให้ไตเสื่อม ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ภาวะกระดูกพรุนเพราะโรคไต
- แก้ไขบรรเทาภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ด้วยการใช้ยาลดกรดยูริก (แพทย์สั่งเท่านั้น เพราะยาลดกรดยูริก ผู้ป่วยจำนวนมากแพ้ยา) ร่วมกับการรับประทานอาหารพิวรีนต่ำ และไขมันต่ำด้วย ระดับกรดยูริกที่สูงอาจทำให้เกิดนิ่ว และอาจทำให้ไตเสื่อม
- ป้องกันหรือบรรเทาภาวะทุพโภชนาการ (โดยการควบคุมโปรตีน พลังงาน และสารอาหารอื่น ๆ ) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรก และเป็นเหตุให้อัตราการตายสูงขึ้น จะต้องเฝ้าระวังมิให้เกิด เมื่อเกิดต้องรีบบำบัด ด้วยการจัดอาหารที่มีโปรตีนในระดับที่เหมาะสม (0.6-0.8 กรัม/กก.น้ำหนักตัวที่ควรจะเป็นต่อวัน) และให้พลังงานอย่างพอเพียงหรือเกินพอเล็กน้อย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการจัดอาหารบำบัด
พลังงาน ความเพียงพอในด้านพลังงานนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อาหารที่ให้พลังงานพอเพียง หรือเกินพอเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายใช้โปรตีนปริมาณน้อยได้อย่างคุ้มค่า กล่าวคือใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สร้างสารที่จำเป็นต่างๆ เช่น ฮอร์โมน สารภูมิคุ้มกันโรค และไม่ต้องนำโปรตีนมาเผาผลาญให้เกิดพลังงาน
การจัดอาหารให้พลังงานมากน้อยเท่าไหร่ ต้องคำนึงถึงเพศ อายุ และกิจกรรมของผู้ป่วย ระดับของพลังงานควรจะประมาณ 30-35 กิโลแคลอรี่/ กิโลกรัม / วัน
ผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่า 60 ปี ควรให้ 35 กิโลแคลอรี่/ กิโลกรัม / วัน
เราจะรู้ว่าอาหารที่จัดให้ผู้ป่วยนั้น ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานเพียงพอหรือไม่ ก็โดยดูจากน้ำหนักตัว หากน้ำหนักตัวคงที่ไม่เพิ่ม ไม่ลดก็แสดงว่าอาหารที่ผู้ป่วยได้รับให้พลังงานเพียงพอ
ภาวะโภชนาการในผู้ป่วยไตเรื้อรังเป็นตัวพยากรณ์โรคสำหรับอัตราการตายและการเจ็บป่วยภายใน 1 ปี ครอบครัว ญาติ และผู้ที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยจึงต้องตระหนักเสมอถึงการให้การดูแลเอาใจใส่และการจัดอาหารที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วย เพื่อไม่ให้เกิดทุพโภชนาการ ปัจจัยหลักที่สำคัญของภาวะขาดสารอาหารในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง คือ รับประทานอาหารได้ไม่เพียงพอ ทั้งในแง่ของพลังงานและโปรตีน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการในผู้ป่วยไตเรื้อรังมีหลายปัจจัย ได้แก่
- การได้รับสารอาหารที่ไม่ถูกต้อง หรือได้รับไม่เพียงพอ
- การมีโรคอื่นๆร่วม(เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลูปัส เป็นต้น)หรือการรับประทานยาทำให้มีผลต่อความอยากอาหารของผู้ป่วย
- การเจ็บป่วยเฉียบพลัน การติดเชื้อ ความถี่ของการนอนโรงพยาบาล
- ปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจ ที่เกิดจากการเจ็บป่วย ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาทางครอบครัว
- การเปลี่ยนแปลงของสมดุลฮอร์โมน เช่น อินซูลิน(insulin) กลูคากอน(Glucagon)
การประเมินภาวะขาดสารอาหารของผู้ที่เป็นโรคไต
ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ถือว่าขาดสารอาหารคือ ผู้ป่วยที่มี ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) < 18.5กก./เมตร2
เป็นวิธีที่สะดวกตรวจสอบได้ง่าย และใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งสามารถคำนวณโดยใช้สูตร ดังนี้
BMI = น้ำหนัก (กก.) / ส่วนสูง2 (เมตร)
คำแนะนำด้านโภชนาการ เรื่องการบริโภคอาหารให้ถูกต้องแก่ผู้ป่วยไตเรื้อรังขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ป่วยแต่ละคนที่มีความต้องการในสารอาหารต่างกัน การมีโรคอื่น ๆ ร่วม อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์หลักของการให้คำแนะนำที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
- การให้ผู้ป่วยมีภาวะโภชนาการที่ดี โดยให้รักษาสมดุลของโปรตีนและพลังงานจากอาหาร
- อาหารที่ได้รับต้องครบถ้วน และได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ
- โปรตีน (Protein) ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ควรได้รับโปรตีนต่ำกว่าคนปกติ กล่าวคือ ควรได้โปรตีนที่ 0.6-0.8 กรัม /กิโลกรัม /วันร้อยละ 60-65 ของโปรตีนที่ผู้ป่วยได้รับควรเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพ(High Biological Value : HBV) เนื่องมาจากการศึกษาพบว่าหากมนุษย์เราได้พลังงานเพียงพอกับความต้องการของร่างกายแล้วโปรตีนในขนาดดังกล่าวไม่ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร โดยหวังผลในการลดการคั่งของไนโตรเจนในเลือดและให้มีสารอาหารที่เพียงพอ ที่จะดำรงสภาพของโภชนาการที่ดี
- พลังงานจากสารอาหาร(Energy from Food) คำแนะนำแก่ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังที่มีอายุน้อยกว่า 60ปี ควรได้รับพลังงาน 35กิโลแคลอรี่ /กิโลกรัม /วัน และถ้าอายุมากกว่า 60ปี ขึ้นไป ควรได้รับพลังงานที่ 30กิโลแคลอรี่ /กิโลกรัม /วัน
- ไขมัน (Fat) ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังจากเบาหวานหรือสาเหตุอื่นๆ จะมีอุบัติการณ์ของไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ และมี HDL- cholesterolต่ำ (ไขมันดี) ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของหลอดเลือดหัวใจสูง โดยพลังงานจากสารอาหารที่ได้รับควรมาจากไขมันไม่ควรเกินร้อยละ 35 ของพลังงานทั้งหมด ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง เป็น polyunsaturated fatty acid ประมาณร้อยละ 10 ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดตำแหน่งเดียว Monounsaturatedfatty acid ร้อยละ 20 ส่วนไขมันอิ่มตัวควรจะได้รับน้อยกว่าร้อยละ 7 ของพลังงานจากอาหารทั้งหมด
- คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) ควรได้จากป้งโมเลกุลเชิงซ้อน (Complex carbohydrate)ประมาณร้อยละ 50 -60 ของพลังงานทั้งหมด เส้นใยอาหารควรได้รับประมาณ 20-30 กรัม/วัน
- โซเดียม (Sodium) เนื่องจาการรับประทานเกลือหรือโซเดียมมากส่งผลให้ความดันโลหิตสูงและน้ำในร่างกายเกิน จึงต้องมีการกำหนดปริมาณของโซเดียมที่จะรับประทานให้พอเหมาะ คำแนะนำสำหรับปริมาณโซเดียมที่ควรปริโภค คิดเป็นปริมาณโซเดียม 1,840-2,800 มก./วัน ในกรณีที่ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมลำบาก บวม หรือมีน้ำในช่องท้องและการทำงานของหัวใจไม่ปกติ ควรจำกัดปริมาณโซเดียมให้มากกว่านี้
- โพแตสเซียม (Potassium) ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังหากมีปัญหาโพแตสเซียมในเลือดสูงควรจำกัดโพแตสเซียมในอาหารประมาณ 39 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน เช่น ผู้ป่วยหนัก 60 กิโลกรัม ได้รับโพแตสเซียมต่อวัน ไม่ควรเกิน 2,400 มิลลิกรัม/วัน นักกำหนดอาหารมักแนะนำวิธีการลดปริมาณโพแตสเซียมในอาหาร เช่น การนำผักมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มในน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง จะกำจัดโพแตสเซียมออกได้ประมาณ ร้อยละ20-30 อย่างไรก็ตามอาหารจะสูญเสียคุณค่าของวิตามินที่จำเป็นไป
- ฟอสฟอรัส(Phosphorus) เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะ hyperphosphatemia ที่จะนำไปสู่โรคของต่อมพาราไทรอยด์ชนิดทุติยภูมิ และการทำให้หน้าที่ของไตเสื่อมลง เมื่อผู้ป่วยมีปัญหาฟอสเฟตในเลือดเริ่มสูง ควรแนะนำการควบคุมปริมาณของฟอสฟอรัสในอาหาร คือ 17 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือระหว่าง 800-1,000 มิลลิกรัม / วัน
- แมกนีเซียม (Magnesium) โดยทั่วไปอาหารที่รับประทานตามปกติจะมีปริมาณของแมกนีเซียมอยู่ไม่มาก ซึ่งไม่ทำให้เกิดระดับของแมกนีเซียมสูงเกินไปในเลือด ปกติอาหารที่รับประทานในแต่ละวันจะมีปริมาณแมกนีเซียมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม ยกเว้นผู้ป่วยที่จะได้รับยาระบายกลุ่ม milk of magnesia หรือยาลดกรดที่มีแมกนีเซียมเป็นส่วนผสม
- แคลเซียม (calcium) จุดมุ่งหมายหลักของการให้แคลเซียมเสริมในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง คือ เป็นการเสริมระดับแคลเซียมในเลือดไม่ควรสูงเกิน อย่างไรก็ตามให้พิจารณาว่า หากผู้ป่วยมีโอกาสขาดแคลเซียม สามารถให้เสริมระหว่าง 1,250 –1,500 มิลลิกรัม/ วัน
- วิตามินและแร่ธาตุ(Vitamin and Minerals) ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมักจะได้รับวิตามินเหล่านี้น้อย เนื่องจากผู้ป่วยจะได้รับการจำกัดโพแตสเซียมจากผักและผลไม้ ในผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ป่วยทุพโภชนาการ ควรได้รับวิตามินเสริมให้เพียงพอ และให้ตามความต้องการของสารอาหารในคนไทยที่ควรรับในแต่ละวัน อาหารมีบทบาทอย่างมากในการดำรงชีวิต ขณะเดียวกันก็สำคัญในการชะลอการเสื่อมของไตในผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง
"ทั้งหมดเป็นคุณสมบัติพิเศษเฉพาะที่มีใน พรีเดียเวล ตรงตามหลักทางการแพทย์และโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ระยะก่อนบำบัดทดแทนไต"
[ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นมีการดำเนินของโรค(ระยะที่1) จนถึงระยะสุดท้ายที่ผู้ป่วยจะอยู่ได้โดยไม่ต้องการบำบัดทดแทนไต ด้วยการฟอกเลือด , ล้างไตหรือการปลูกถ่ายไต (ระยะที่5)]
พรีเดียเวล สูตรอาหารครบถ้วน ไม่มีน้ำตาล ไม่มีแลคโตส ไม่มีกลูเท็น เป็นอาหารสำเร็จรูปชนิดผง ชงดื่มง่าย รสชาติอร่อย สะดวก ปลอดภัย
- ตรงตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยา
- ตรงตามหลักทางการแพทย์และโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ระยะก่อนบำบัดทดแทนไต มีตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการอย่างชัดเจน สามารถกำหนดปริมาณพลังงาน โปรตีน และปริมาณน้ำได้ตามต้องการ ครอบครัว ญาติ และแม้กระทั่งตัวผู้ป่วยก็สามารถจัดเตรียมอาหารเองได้โดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป อีกทั้งผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ ไม่เกิดภาวะขาดสารอาหาร ช่วยลดการทำงานของไตซึ่งสามารถชะลอความเสื่อมของไตได้ ผู้ป่วยไม่มีความวิตกกังวล คุณภาพชีวิตดีขึ้น ครอบครัวก็จะมีความสุขได้นานยิ่งขึ้น
พรีเดียเวล เครื่องหมายการค้า โปรเวล
เครื่องดื่มผงสูตรทดแทนมื้ออาหารสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง
(Pre-Dialysis Patients Formula)
สูตรอาหารเฉพาะที่มีโปรตีนคุณภาพดี 10% และมีไขมันอิ่มตัวต่ำเพียง 2% โซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัสต่ำ
ช่วยรักษาสมดุลของกรด-ด่างในร่างกาย พร้อมแร่ธาตุและวิตามินรวม 29 ชนิด
ไต (Kidney)เป็นอวัยวะรูปร่างคล้ายถั่วเหลือง ยาว 12 เซนติเมตร หนัก 120-150 กรัม อยู่ด้านหลังของกระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว ไตมีความสำคัญต่อร่างกายมาก โดยมีหน้าที่ดังนี้
- ขับถ่ายของเสีย สารพิษ สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ
- ดูดซึมสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคืนเข้าสู่กระแสเลือด
- รักษาความเป็นกรด ด่าง เกลือ และน้ำ ให้อยู่ในสภาวะสมดุล
- สร้างสารอีรีโธปัวอีติน (erythropoietin) ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง
- ช่วยเปลี่ยนวิตามินดีให้มีประสิทธิภาพในร่างกาย
อาหารบำบัดผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีความสำคัญมาก เพราะหากผู้ป่วยสามารถปฏิบัติเรื่องอาหารได้ถูกต้องก็จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพหรือไตไม่ถูกทำลายมากขึ้นการไปล้างไตก็ไม่จำเป็น โรคไตเป็นโรคที่มีความซับซ้อนอย่างมาก ผู้ป่วยควรจะรับประทานอาหารที่มีปริมาณสารอาหารมากน้อยเท่าใดนั้น แพทย์เท่านั้นที่จะต้องเป็นผู้กำหนด ซึ่งอาจจะต้องเปลี่ยนอาหารตามสภาวะและความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยจึงควรไปพบแพทย์เป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ สารอาหารที่ต้องการควบคุมสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้แก่ โปรตีน โซเดียม โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส และน้ำ
โรคไตเรื้อรังระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการ กว่าจะปรากฏอาการ เช่น ซีด เพลีย ก็ต่อเมื่อไตเสื่อมไปมากแล้ว จึงจำเป็นต้องหมั่นตรวจค้นให้พบว่าเป็นโรคไตโดยเร็วที่สุด (ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง ควรตรวจอย่างน้อยทุก 6 เดือน)
การบำบัดโรคไตเรื้อรังด้วยอาหาร ยิ่งเริ่มต้นเร็วตั้งแต่ไตเสื่อมน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งจะได้ผล ช่วยชะลอความเสื่อมของไตไว้ได้ดีเท่านั้น ช่วยให้เข้าสู่ระยะการบำบัดทดแทนไต (ฟอกเลือดหรือล้างไต)ช้าลง มีหวังที่จะมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพและสุขภาพที่ดี
พรีเดียเวล อาหารสูตรครบถ้วนที่มีโปรตีนต่ำ เป็นอาหารสำเร็จรูปชนิดผง ชงละลายง่าย รสชาติอร่อย สะดวก ปลอดภัย สามารถกำหนดปริมาณพลังงาน และปริมาณน้ำได้ตามต้องการ มีคุณค่าทางโภชนาการชัดเจน และมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ตรงตามหลักทางการแพทย์และโภชนาการ สูตรเฉพาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังระยะก่อนการบำบัดทดแทนไต ประกอบด้วย
คุณสมบัติ
- มีสารอาหารครบทั้ง 5หมู่ สามารถดื่มทดแทนมื้ออาหารได้ มีวิตามิน 14ชนิด เกลือแร่ 15ชนิดในอัตราส่วนสมดุล
- โปรตีนต่ำ เพียง 10%: ปริมาณต่ำ แต่ให้พลังงานเพียงพอเพื่อลดการทำงานของไต ร่างกายดูดซึมได้เร็ว และลดของเสียที่คั่งค้างในร่างกาย(ไนโตรเจน)
- ปริมาณโซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัสต่ำ สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันสภาวะการบวมและความดันโลหิตสูง
- ไขมันอิ่มตัวต่ำ โดยมีกรดไขมันจำเป็นครบทั้ง โอเมก้า 3-6-9 เสริมด้วยน้ำมันอิ่มตัวสายปานกลาง (MCT) และ แพล้นท์สเตอรอลเพื่อลดภาวะไขมันในเลือดสูง
- เสริมโอเมก้า 3 สูง ประกอบด้วย EPA และ DHA ช่วยลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ บำบัดไต ลดการอักเสบ ลดปริมาณไข่ขาวในปัสสาวะในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และช่วยชะลอการเข้าสู่ภาวะไตเสื่อมเรื้อรังระยะสุดท้าย
- มีไฟเบอร์ และแคลเซี่ยมจากนมสูง จะช่วยป้องกันเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ภาวะกระดูกพรุน ไขมันไนเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ เพิ่มกากใย ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
- มีวิตามินD อาร์จินีน ทอรีน โคลีน และอิโนซิทอล
- วิตามิน A, C, E และ เซลีเนียม (Se): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ ลดความเสื่อมของร่างกาย โดยเฉพาะ เซลเบต้าในตับอ่อน ปกป้องเซลประสาทจากการบาดเจ็บ เป็นส่วนสำคัญในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เป็นเบาหวานร่วมด้วย เพื่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- ให้พลังงาน 360 กิโลแคลอรี / 200 มิลลิลิตร
- รสข้าวโพด อร่อย ไม่เติมน้ำตาล ไม่มีแลคโตส ไม่มีกลูเต้นท์ ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ (Allergy)
- ขึ้นทะเบียนบัญชีสินค้านวัตกรรมไทย เลขที่ 14000015 มค.2561
พรีเดียเวล ให้พลังงานเพียงพอกับความต้องการของร่างกายทำให้น้ำหนักตัวคงที่ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ร่างกายใช้โปรตีนปริมาณน้อยได้อย่างคุ้มค่า ช่วยซ่อมและเสริมสร้างร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ได้ดี ก็จะช่วยไตให้ทำงานลดลง ชะลอการถูกทำลายของเนื้อไตได้
พรีเดียเวลไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เพราะการบริโภคน้ำตาลมีผลต่อการสร้างไตรกลีเซอไรด์ในตับเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและมีผลเพิ่มไขมันชนิดไม่ดี(LDL) และลดไขมันชนิดดี(HDL) ก็ยิ่งเสี่ยงต่อภาวะไตเลื่อมมากขึ้น
พรีเดียเวลไม่มีแลคโตส และไม่มีกลูเท็น เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัวหรือแพ้โปรตีนจากแป้งสาลี
พรีเดียเวล คัดสรรแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ดังนี้
โปรตีน (Protein)ิ คัดสรรแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูงและย่อยง่ายโดยมีการเข้มข้นของโปรตีน ไม่น้อยกว่า 90% ในภาวะไตวายเรื้อรังร่างกายจำเป็นต้องใช้โปรตีนและกรดอะมิโนปริมาณน้อยอย่างคุ้มค่า สามารถดูดซึมได้เร็วตอบสนองความต้องการของร่างกายได้ทันที เพื่อลดการคั่งของไนโตรเจนในเลือด และให้มีสารอาหารเพียงพอ ได้แก่
- เวย์โปรตีนเดี่ยว(Whey Protein Isolated) จะมีกรดอะมิโนที่จำเป็น 8ชนิด ที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้และพบในอัตราที่สูง เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีปริมาณ 48%ของแหล่งโปรตีนทั้งหมด
- เคซีน(Casein) โปรตีนจากนม มีกรดอะมิโน เมไธโอนีน วาลีน โพรลีน ไทโรซีน และกลูตามิกสูง มีปริมาณ 33% ของแหล่งโปรตีนทั้งหมด
- ซอยโปรตีนไอโซเลต (Isolated Soy Protein) โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง มี เฟนิลอะลานีน ฮีสทีดีน อาร์จีนีน แอสพาติก และไกลซีนสูง มีปริมาณ 19% ของแหล่งโปรตีนทั้งหมด
โปรตีนทั้ง 3 แหล่งรวมกันในสัดส่วนที่เหมาะสม ทำให้ได้กรดอะมิโนครบถ้วน 18 ชนิดในอัตราส่วนที่สูง โดยเฉพาะไทโรซีน***เป็นกรดอะมิโนจำเป็นสำหรับโรคไตเรื้อรัง เพราะเป็นกรดอะมิโนต้นกำเนิดไธรอยด์ฮอร์โมน กรดอะมิโนจำเป็น(คิดเป็น 40%ของกรดอะมิโนทั้งหมด) ที่ร่างกายต้องการ และไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ จำเป็นต้องได้เพิ่มจากอาหารเท่านั้น
1 แก้ว (200 มล.) 80 กรัม /4 ช้อนตวง /1 ซอง มีโปรตีน 10.02 กรัม คิดเป็น 9%ของพลังงานทั้งหมด
สารอาหาร |
ต่อผง 100 กรัม |
ปริมาณอาหารที่ผสมน้ำแล้ว (1 แก้ว:200cc) 80กรัม/4 ช้อนตวง |
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน (มก./วัน) |
** %เปรียบเทียบกับปริมาณที่แนะนำต่อวัน |
****วาลีน , กรัม |
0.51 |
0.41 |
500 |
82 |
****ลิวซีน , กรัม |
0.86 |
0.69 |
700 |
99 |
****ไอโซลิวซีน , กรัม |
0.50 |
0.40 |
500 |
80 |
****ทรีโอนีน , กรัม |
0.48 |
0.38 |
350 |
109 |
****ทริปโตเฟน , กรัม |
0.13 |
0.10 |
*** |
*** |
****เมไธโอนีน , กรัม |
0.19 |
0.15 |
650 |
23 |
****เฟนิลอะลานีน , กรัม |
0.41 |
0.33 |
700 |
47 |
****ไลซีน , กรัม |
0.69 |
0.55 |
600 |
92 |
อาร์จีนีน , กรัม |
0.37 |
0.30 |
1000 |
30 |
ฮีสทีดีน , กรัม |
0.28 |
0.22 |
*** |
*** |
โพรลีน , กรัม |
0.72 |
0.57 |
*** |
*** |
เซอรีน , กรัม |
0.47 |
0.38 |
*** |
*** |
ไทโรซีน , กรัม*** (จำเป็นสำหรับโรคไตเรื้อรัง) |
0.37 |
0.30 |
*** |
*** |
อะลานีน |
0.36 |
0.29 |
*** |
*** |
แอสพาติค , กรัม |
0.85 |
0.68 |
*** |
*** |
กลูตามิก , กรัม |
1.73 |
1.38 |
*** |
*** |
ไกลซีน , กรัม |
0.22 |
0.18 |
*** |
*** |
ซิทีน , กรัม |
0.14 |
0.12 |
650 |
18 |
* ปริมาณที่แนะนำต่อวัน ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารละยา โดยสมมุติน้ำหนักตัวที่ 60 กิโลกรัม
** ร้อยละของสารอาหารพรีเดียเวลเปรียบเทียบกับสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยา
*** คณะกรรมการอาหารและยาไม่ได้กำหนด
**** กรดอะมิโนจำเป็น
พรีเดียเวล ได้เสริมกรดอะมิโนเดี่ยวเพิ่มให้อีก เพราะการเสริมกรดอะมิโนมีความสำคัญ และจำเป็นต่อผู้เป็นโรคไตเรื้อรังอย่างมาก เนื่องจากจำกัดปริมาณโปรตีนที่รับประทาน เพื่อลดการทำงานของไต ส่งผลให้กรดอะมิโนที่มีในโปรตีนลดลงด้วย การเสริมกรดอะมิโน (Amino Acid Mixture) จึงช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังได้รับกรดอะมิโนครบถ้วนโดยเฉพาะกรดอะมิโนจำเป็น อีกทั้งการดูดซึมและการนำไปใช้ประโยชน์ในกรดอะมิโนเดี่ยวก็มีประสิทธิภาพสูงกว่าด้วย ได้แก่ ทอรีน, แอล-คาร์นิทีน และแอลอาร์จินีน
คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) คือ กลุ่มแป้งและน้ำตาล ร่างกายจะใช้เป็นพลังงานอย่างเดียว ในภาวะไตวายเรื้อรัง ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงเมทาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่วมด้วย หรือภาวะยูรีเมีย อาจเกิดภาวะดื้อต่อยาฉีดอินซูลินได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
พรีเดียเวล จึงคัดสรรแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนโดยไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ดังนี้
- มอลโตเด็กติน (Maltodextrin) เป็นแป้งที่ผ่านขบวนการดัดแปลง (Modified Starch) มีการย่อยสลายช้ากว่าน้ำตาล
- ซูคาร์โลส (Sucralose) สารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน มีรสชาติเหมือนน้ำตาล มีความหวานประมาณ 600 เท่าของน้ำตาล ไม่มีรสขมติดลิ้น มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ใช้ได้กับทุกๆคน รวมทั้งสตรีมีครรภ์ แม่ที่ให้นมลูก ตลอดจนเด็กทั่วไป
- ใยอาหารสูง 7% ทั้งชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ที่ไม่ให้พลังงาน ประกอบด้วย
- อินนูลิน (Inulin) ไม่ถูกย่อยโดยเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร มีผลดีต่อสุขภาพ คือ จะผ่านไปที่ลำไส้ใหญ่ในสภาพที่สมบูรณ์จึงไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ที่สำคัญเป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) ถือว่าเป็นเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำและเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ช่วยเพิ่มกากในระบบทางเดินอาหาร ลดคอเลสเตอรอล และป้องกันมะเร็งในทางเดินอาหาร นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม โดยแคลเซียมที่ดูดซึมได้นั้นยังเข้าสู่กระดูกซึ่งเป็นบริเวณที่ต้องการแคลเซียมโดยตรง ขณะที่แคลเซียมส่วนเกินซึ่งมากกว่า 70% จะถูกขับออกมาจากร่างกายป้องกันภาวะกระดูกพรุนในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้ดี
- ใยถั่วเหลือง(Soy Fiber) เป็นเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ช่วยทำให้อุจจาระนิ่ม ป้องกันท้องผูก
พรีเดียเวล มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Glycemic Index : GI) จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นผลดีต่อตับอ่อน กล่าวคือ ไม่ต้องผลิตฮอร์โมนอินซูลินในปริมาณมาก และอินซูลินที่ผลิตสามารถทำงานได้ย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับช่วยป้องกันตับอ่อนไม่ต้องทำงานหนัก ทั้งยังทำให้อินซูลินจับกับเซลล์ได้ดีขึ้นด้วยทำให้การใช้กลูโคสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้การเผาผลาญกลูโคสเป็นไปด้วยดี
1 แก้ว (200 มล.) 80 กรัม /4 ช้อนตวง /1 ซองมีคาร์โบไฮเดรต 67.26กรัม คิดเป็น 60% ของพลังงานทั้งหมด
ไขมัน (FAT) ไขมันจำเป็นเพราะเป็นส่วนประกอบหลักของผนังเซลล์ ฮอร์โมน และสมอง แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังมักมีภาวะไขมันในเลือดสูงและมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ จำเป็นต้องจำกัดปริมาณไขมันอิ่มตัว พรีเดียเวลมีไขมันอิ่มตัวเพียง2% โดยมีไขมันจำเป็นครบถ้วนทั้ง โอเมก้า3 โอเมก้า6 และโอเมก้า9 ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อลดภาวะไขมันทั้งไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือดสูง นอกจากนี้ไขมันยังช่วยในการละลายและดูดซึมของวิตามินหลายชนิด เช่น เอ ดี อี เค เบต้าแคโรทีน พรีเดียเวลคัดสรรแหล่งไขมันที่ดี ดังนี้
- มีเดียมเชนไตรกลีเซอไรด์(MCT) เป็นไตรกลีเซอไรด์ สายปานกลางมีโมเลกุลเล็กจึงดูดซึมได้ง่าย ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เลย เกิดการเผาผลาญอย่างรวดเร็ว จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของการสะสมของไขมันอิ่มตัว เพราะMCTถูกปล่อยออกมาเป็นพลังงานทั้งหมด
- แพล้นท์สเตอรอล(plant sterol) เป็นไขมันสกัดได้จากพืช ช่วยลดโคเลสเตอรอล ชนิด LDL(ไขมันไม่ดี) ได้ถึง 20% จึงลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ปลอดภัยไม่ออกฤทธิ์ต่อตับ
- น้ำมันคาโนล่า มีโอเมก้า9 สูง ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ตำแหน่งเดียว(MUFA) มีผลในการลดคอเลสเตอรอล และLDL(ไขมันชนิดไม่ดี) แต่ไม่ลด HDL(ไขมันชนิดดี) พรีเดียเวลมีโอเมก้า9 คิดเป็น 10%ของไขมันทั้งหมด
- น้ำมันดอกทานตะวัน มีโอเมก้า3 และโอเมก้า6 สูง เป็นไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง(PUFA) ช่วยลดคอเลสเตอรอล และ LDL(ไขมันชนิดไม่ดี) มีไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง คิดเป็น 8%ของไขมันทั้งหมด
- โอเมก้า 3 พรีเดียเวลได้เติมโอเมก้า3 (สกัดจากปลาทะเล) อีก20%ของไขมันทั้งหมด เป็นกรดไขมันจำเป็น มี EPA ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจโดยตรง ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ดีขึ้นและลดการติดเชื้อในร่างกาย และมี DHA สารที่สำคัญต่อการทำงานและการพัฒนาการของสมองและจอตา อัตราส่วนของโอเมก้า6 ต่อโอเมก้า 3 ในสารอาหารพรีเดียเวล เท่ากับ 5 ต่อ 1 จึงเป็นอัตราส่วนที่สมดุล (Balanced Proportion) ซึ่งมีประโยชน์ต่อการรักษาสุขภาพของร่างกาย
1 แก้ว (200 มล.) 80 กรัม /4 ช้อนตวง /1 ซองมีไขมัน 15.33 กรัม คิดเป็น 31% ของพลังงานทั้งหมด
สารอาหารเสริมสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต
เนื่องด้วยสภาวะของโรคไตเรื้อรัง ทำให้ต้องจำกัดปริมาณโปรตีนที่รับประทานส่งผลให้มีโอกาสขาดกรดอะมิโนทั้งชนิดที่จำเป็นและไม่จำเป็น การเสริมกรดอะมิโนจึงมีความจำเป็นเพราะสำคัญอย่างยิ่งและด้วยสภาวะการเสื่อมของไต มักทำให้ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังมีระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ เนื่องจากแคลเซียมในอาหารถูกดูดซึมได้น้อยลง ในขณะที่ฟอสฟอรัสในเลือดสูง เนื่องจากไตขับถ่ายได้น้อยลง ก่อให้เกิดผลเสียหลายประการเช่น กระดูกพรุน และมีผลต่อต่อมพาราไธรอยด์ ทั้งยังมีผลให้ไตเสื่อมมากขึ้นอีกด้วย
พรีเดียเวล จึงคัดสรรสารอาหารเสริมเพื่อช่วยชะลอการถูกทำลายของเนื้อไตและช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลของสารอาหาร ปรับสมดุลของน้ำ อีเลคโทรไลท์ และ กรดด่างในเลือดให้เป็นปกติ ชะลอความเสื่อมของไต ดังนี้
- อาร์จีนีนและทอรีน ช่วยขยายหลอดเลือดทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
- โคลินและอินโนซิทอล ออกฤทธิ์เป็นสารไลโปโทรปิค (Lipotropic) ป้องกันการสะสมของไขมันและช่วยนำไขมันและโคเลสเตอรอลไปใช้
- วิตามินซี อี เอ และซิลิเนียม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะเบต้าเซลล์ในตับอ่อน และช่วยต้านการบาดเจ็บของเซลล์ประสาท ดังนั้นหากผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังมีอาการเบาหวานร่วมด้วยก็จะป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ดียิ่งขึ้น
- วิตามินดี เมื่อเป็นไตเรื้อรังระยะรุนแรงไตไม่อาจสังเคราะห์วิตามินดี 3 ได้หรือได้ไม่เพียงพอจึงต้องให้เสริมในรูปวิตามินดี 3 ถ้าขาดจะมีผลเสียต่อกระดูก
- แคลเซียมและฟอสฟอรัส ใช้แร่ธาตุนมจากธรรมชาติ (Milk Calcium Complex) จึงมีอัตราส่วนของแคลเซียม ต่อ ฟอสฟอรัสสมดุลโดยธรรมชาติ เท่ากับ 2 ต่อ1 ร่างกายจึงสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และมีประสิทธิภาพสูง
- แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างของกระดูก โรคไตเรื้อรังระยะรุนแรงมีผลกระทบต่อการดูดซึม การขับถ่ายของเกลือแร่ทั้งสองและการสังเคราะห์วิตามินดี ดังนั้น การรับประทานพรีเดียเวล จะได้รับสารเสริมทั้ง 3 ครบถ้วน และเหมาะสมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและผลเสียที่อาจเกิดต่อต่อมพาราไธรอยด์
- โอเมก้า 3 มีทั้ง EPA และ DHA ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้ดี รวมทั้งลดการอักเสบของไต และยังพบว่าโอเมก้า 3 ยังสามารถลดปริมาณของไข่ขาวในปัสสาวะของผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง และมีแนวโน้มที่จะชะลอการเกิดโรคไตวายเรื้อรังในระยะสุดท้ายลงได้
พรีเดียเวล เป็นอาหารสำเร็จรูป รับประทานง่าย ชงละลายพร้อมดื่ม สะดวก ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการชัดเจน โปรตีนต่ำ ในสัดส่วนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยมีการกระจายตัวของพลังงานจากโปรตีน 9% คาร์โบไฮเดรต 60% และไขมัน 31% เหมาะกับความต้องการของผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังระยะก่อนการบำบัดทดแทนไต ดังตารางต่อไปนี้
สารอาหาร |
ต่อผง 100 กรัม |
ต่อ 1แก้ว (200 cc.) ของปริมาณอาหารที่ผสมน้ำแล้ว |
% เปรียบเทียบตามประกาศ |
**ปริมาณที่แนะนำตาม Thai RDI |
พลังงาน, กิโลแคลอรี่ |
447.09 |
357.67 |
*** |
*** |
โปรตีน, กรัม |
10.02 |
8.02 |
16.00% |
50 |
คาร์โบไฮเดรต, กรัม |
67.26 |
53.81 |
18.00% |
300 |
น้ำตาลทั้งหมด, กรัม |
4.40 |
3.52 |
*** |
*** |
ไขมัน, กรัม |
15.33 |
12.26 |
19.00% |
65 |
กรดไขมันอิ่มตัว, มก. |
2160.00 |
1728 |
9.00% |
20 |
กรดไขมันโอเลอิก, มก |
5331.70 |
4265.36 |
*** |
*** |
กรดไขมันไลโนลีอิก,,มก |
4945.40 |
3956.32 |
*** |
*** |
กรดไขมันไลโนลีนิก,,มก |
800.50 |
640.40 |
*** |
*** |
E.P.A., มก. |
167.88 |
134.30 |
*** |
*** |
D.H.A., มก. |
108.67 |
86.94 |
*** |
*** |
ใยอาหาร, กรัม |
6.63 |
5.30 |
21.22% |
25 |
วิตามิน เอ, มคก.อาร์อี |
1360.00 |
1088.00 |
136.00% |
800 |
วิตามิน ดี, มคก. |
3.85 |
3.08 |
61.60% |
5 |
วิตามินอี, มก. แอลฟาร์ ทีอี |
17.29 |
13.83 |
138.32% |
10 |
วิตามิน ซี, มก. |
139.62 |
111.70 |
186.16% |
60 |
วิตามิน เค, มคก. |
20.53 |
16.42 |
20.53% |
80 |
วิตามิน บี1, มก. |
1.43 |
1.14 |
76.27% |
1.5 |
วิตามิน บี2, มก. |
2.98 |
2.38 |
140.24% |
1.7 |
วิตามิน บี6, มก. |
1.48 |
1.18 |
59.20% |
2 |
วิตามิน บี12, มคก. |
4.83 |
3.86 |
193.00% |
2 |
กรดแพนโทธินิค, มก. |
9.22 |
7.38 |
122.93% |
6 |
ไนอาซิน, มก. |
17.55 |
14.04 |
70.20% |
20 |
กรดโฟลิก, มคก. |
50.00 |
40.00 |
20.00% |
200 |
ไบโอติน, มคก. |
64.0 |
51.20 |
34.13% |
150 |
โคลิน, มก. |
292.87 |
234.30 |
42.60% |
550 |
อินโนซิทอล, มก. |
150.00 |
120.00 |
80.00% |
150 |
คาร์นีทีน, มก. |
29.62 |
23.70 |
4.74% |
500 |
ทอรีน, มก. |
238.81 |
191.05 |
12.33% |
1550 |
แคลเซียม, มก. |
303.80 |
243.04 |
30.38% |
800 |
โซเดียม, มก. |
377.31 |
301.85 |
12.58% |
2400 |
โปแตสเซียม, มก. |
404.60 |
323.68 |
9.25% |
3500 |
คลอไรด์, มก. |
496.40 |
397.12 |
11.68% |
3400 |
เหล็ก, มก. |
19.33 |
15.46 |
103.07% |
15 |
สังกะสี, มก. |
3.30 |
2.64 |
17.58% |
15 |
ทองแดง, มก. |
0.46 |
0.36 |
18.24% |
2 |
ฟอสฟอรัส, มก. |
100.00 |
80.00 |
10.00% |
800 |
แมกนีเซียม, มก |
44.00 |
35.20 |
10.06% |
350 |
แมงกานีส, มก. |
0.48 |
0.38 |
10.97% |
3.5 |
ไอโอดีน, มคก. |
138.00 |
110.40 |
73.60% |
150 |
โครเมียม, มคก |
94.65 |
75.72 |
58.25% |
130 |
ซิลิเนียม, มคก. |
23.20 |
18.56 |
26.51% |
70 |
โมลิบดินัม, มคก. |
102.17 |
81.74 |
51.09% |
160 |
การกระจายตัวของพลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต : โปรตีน : ไขมัน = 60 : 9 : 31
* ร้อยละของสารอาหารเปรียบเทียบกับสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก (WHO)
**องค์การอนามัยโลกไม่ได้กำหนด (WHO)
วิธีการรับประทาน พรีเดียเวล สูตรอาหารครบถ้วนที่มีโปรตีนต่ำ มีใยอาหารและแคลเซียมจากธรรมชาติสูง
สูตรเฉพาะสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังแบบกระป๋องบรรจุ 480 กรัม
ความเข้มข้นของพลังงานต่อปริมาณอาหาร (kcal : ml) |
ปริมาณพรีเดียเวล (ช้อนตวง/กรัม) |
ปริมาณ*น้ำร้อน (ml) |
ปริมาณพรีเดียเวล พร้อมดื่ม (ml) |
ปริมาณพลังงาน (kcal) |
0.9: 1 |
2 ชต./ 40กรัม |
180 |
200 |
180 |
1.35 : 1*** |
3 ชต./ 60กรัม |
160 |
200 |
270 |
1.8 : 1 |
4 ชต./ 80กรัม |
140 |
200 |
360 |
3.6 : 1 |
8 ชต./160 กรัม |
120 |
200 |
720 |
สามารถผสมเป็นเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นได้ตามรสชาติที่ชอบและสามารถปรับความเข้มข้นของพลังงานและปริมาณน้ำ * ได้ตามความต้องการของร่างกาย
1 ช้อนตวง = 20 กรัม ผสมน้ำร้อน 35 มิลลิลิตรให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี่
4 ช้อนตวง = 80 กรัม ผสมน้ำร้อน 140 มิลลิลิตร ให้พลังงาน 360 กิโลแคลอรี่
วิธีชงเครื่องดื่มร้อน เติมน้ำร้อนปริมาณตามความเข้มข้นที่ต้องการ(ดูจากตาราง)ลงในพรีเดียเวลที่เตรียมไว้ คนหรือเขย่าจนละลายเข้ากันดี (ประมาณ 2-3 นาที) จะได้สารอาหารพรีเดียเวล 200 มิลลิลิตรให้พลังงานตามตารางการผสมอาหาร
*กรณีให้ทางสายให้อาหาร ควรตั้งทิ้งไว้ให้อุ่น ก่อนให้ทางสายให้อาหาร
วิธีชงเครื่องดื่มเย็นและปั่น เติมน้ำร้อน (ประมาณ 70 องศาเซลเซียล) ประมาณ ½ แก้ว** (70 มล.) ลงในพรีเดียเวลที่เตรียมไว้*** คนหรือเขย่าจนละลายเข้ากันดี (ประมาณ 2-3 นาที) เติมน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัดและผลไม้สดเพื่อเพิ่มความสดชื่นและรสชาติตามความชอบ
ถ้าจะดื่มเป็นเครื่องดื่มปั่นให้เทส่วนผสมพรีเดียเวล ผลไม้สด และน้ำแข็งที่เตรียมไว้ลงในเครื่องปั่น ปั่นพอให้น้ำแข็งก้อนกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง จะได้เครื่องดื่มปั่นรสชาติตามที่คุณชอบ
** ที่ความเข้มข้น 1.8 กิโลแคลอรี่ ต่อ มิลลิลิตร ตักพรีเดียเวล 4ช้อนตวง (80 กรัม) เติมน้ำร้อนเพียง ½ แก้ว (70 มล.)
*สำหรับความเข้มข้นอื่น ๆ ให้ลดปริมาณน้ำร้อนลง ½ จากตารางการผสมอาหาร จะทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นขึ้น
อาหารที่ผสมแล้วควรรับประทานทันทีหากไม่รับประทานทันทีควรเทใส่ภาชนะที่สะอาดแล้วปิดฝาเก็บไว้ในตู้เย็น(อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียล)
นำมาอุ่นก่อนรับประทานและไม่ควรเก็บไว้เกิน 24 ชั่วโมง
ในกรณีที่ต้องการปรับเพิ่มและความเข้มข้นที่แตกต่างจากในตารางการผสม สามารถปรับปริมาณพรีเดียเวลได้โดย 1 ช้อนตวงมีผงพรีเดียเวล 20 กรัม ให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี่
ดังนั้นสามารถเพิ่มปริมาณพรีเดียเวลได้มากกว่า 1 ซอง หรือเพิ่มจำนวนช้อนตวงตามปริมาณที่ต้องการ และผสมน้ำตามอัตราส่วนในตารางการผสมอาหารให้ได้ปริมาณพลังงานตามที่กำหนด
เปรียบเทียบการรับประทานอาหารปกติกับอาหารสำเร็จรูป
อาหารปกติ 1 มื้อ พลังงาน 300-700 kcal |
พรีเดียเวล 1แก้ว / 1มื้อ ให้พลังงาน 360 กิโลแคลอรี |
ประกอบด้วย: โปรตีนคุณภาพดี 10% ใยอาหารสูง 7% ไขมันอิ่มตัวต่ำ 2% แคลเซียมจากธรรมชาติสูง เกลือแร่ วิตามิน 29 ชนิด และมีกรดไขมันจำเป็นครบทั้งโอเมก้า 3 , 6 และ9 |
|
ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนและไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ได้รับโปรตีนและแร่ธาตุ (โซเดียม โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส) สูงเกินหรือน้อยเกินทำให้ไตทำงานหนัก ความเสื่อมของไตเร็วขึ้น จนเสี่ยงต่อภาวะไตวายรุนแรงจนต้องบำบัดด้วยการล้างไต อัตราเสียชีวิตสูง ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่รับประทาน คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ ขบวนการปรุงอาหาร สภาวะของร่างกายและความรู้ความเข้าใจในการเลือกรับประทานอาหาร สิ่งแวดล้อม |
ให้สารอาหารครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง
|
อาหารบำบัดสำหรับผู้เป็นโรคไตเรื้อรังมีความสำคัญมาก เพราะหากผู้ที่ป่วยสามารถเลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องก็จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ ช่วยชะลอความเสื่อมของไตและความรุนแรงของโรคไตได้ ยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งชะลอไตเสื่อมได้นานที่สุดเท่านั้น
การรับประทานอาหารของผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง จะต้องจำกัดปริมาณโปรตีน โซเดียม โพแตสเซียม ฟอสฟอรัส และยังมีความต้องการแคลเซียมปริมาณสูง รวมถึงวิตามินดี เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน โดยยังต้องได้พลังงานจากสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วย เพื่อป้องกันภาวะทุพโภชนาการที่อาจเกิดขึ้นโดยส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไตเสื่อมสมรรถภาพมากขึ้น จนอาจถึงภาวะไตวายรุนแรงจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ สุดท้ายก็ต้องบำบัดทดแทนไตเท่านั้น ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและค่าใช้จ่ายสูงมาก
พรีเดียเวล เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังระยะก่อนการบำบัดทดแทนไตมี
- โปรตีนเพียง 10% และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง
- มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- มีกรดไขมันจำเป็นครบถ้วนทั้งโอเมก้า3, 6 และ9 เพื่อลดภาวะไขมันในเลือดสูง
- เสริมด้วยใยอาหารและแคลเซียมสูง เพื่อป้องกันโรคกระดุกพรุน ชงง่าย รสชาติอร่อย สะดวก ปลอดภัย ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยา ตรงกับหลักทางการแพทย์และโภชนาการ พลังงานที่ได้รับจากสารอาหารหลักทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน มีอัตราส่วนที่สมดุลตามความต้องการของร่างกาย จึงหมดกังวลในเรื่อง ภาวะทุพโภชนาการ
พรีเดียเวล เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมปริมาณโปรตีน แร่ธาตุ และพลังงานได้ง่าย สะดวกในการรับประทาน ชงดื่มง่าย รสชาติอร่อย ทำให้ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังและครอบครัวมั่นใจในการดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน ขณะเดียวกันก็สำคัญในการชะลอความเสื่อมของไต เป็นการป้องกันไม่ให้เนื้อไตถูกทำลายจนเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต อันเป็นระยะเวลาที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากอีกทั้งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน อันเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ง่าย
ขนาดบรรจุ: 480กรัม/กระป๋อง (6 มื้อ)
ข้อควรระวัง: ไม่เหมาะแก่ผู้แพ้โปรตีนจากนม ปลา ถั่วเหลือง
ติดต่อศูนย์โภชนโปรเวล 085-0597478 หรือ ไลน์ : @prowell_nutritions
เพิ่มคุณภาพชีวิต พิชิตไตเสื่อม