โอเมก้า3 (Omega3)
OMEGA 3
โอเมก้า3 ชนิดผง ดพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ การติดเชื้อ และการอักเสบ
Omeg 3 เป็น Fish Oil ชนิดผงในรูปแบบของแคปซูล มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสุขภาพ เนื่องจากกรดไขมันหลักที่มีชื่อว่า Alpha-Linoleinc acid (ALA) ซึ่งเป็นกรดไขมันตั้งต้นที่จะสร้างเป็นกรดไขมันจำเป็นคือEicosaPentAenoic (EPA) และ DocosaHexAenoic Acid (DHA) ก่อนที่เราจะมารู้จักกับ DHA และ EPA ให้เรามาทำความเข้าใจถึงไขมัน(Fatty Acid)กันก่อน กรดไขมัน (Fatty Acid) ที่ร่างกายได้รับมีประโยชน์หลายอย่าง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ |
||
1. กรดไขมันอิ่มตัว(Saturated Fatty Acid) ส่วนใหญ่ได้มาจากไขมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู กรดไขมันอิ่มตัวให้พลังงานแก่ร่างกาย รักษาความอบอุ่นซึ่งถือว่าไม่มีประโยชน์กับร่างกายเลย เพราะมนุษย์เราไม่เคยขาดพลังงาน มีแต่เกิน ในทางตรงกันข้ามกรดไขมันอิ่มตัวกลับให้โทษมหันต์แก่ร่างกาย เพราะกรดไขมันอิ่มตัวเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด อันนำไปสู่การเป็นโรคหัวใจและสมองขาดเลือดได้ กรดไขมันประเภทนี้เมื่อนำไปแช่ตู้เย็นจะแข็งตัวเป็นไข |
||
2.กรดไขมันไม่อิ่มตัว(Unsaturated Fatty Acid) หรือที่เรียกว่า Essential Fatty Acid เป็นกรดไขมันที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ กรดไขมันประเภทนี้ไม่ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด
|
||
กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ 1. โอเมก้า-3 หรือAlpha-Linolenic acid ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นกรดไขมันที่ทำงานได้ คือ DHA(Docosahexaenoic Acid) และ EPA (Eiocosapentaenoic) 2. โอเมก้า-6 หรือLinoleic acid ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นกรดไขมันที่ทำงานได้คือ Arachidonic Acid (AA) และ Gamma Linolenic acid (GLA) |
||
DHA และ EPA คืออะไร DHA หรือ Docosahexaenoic Acid คือ กรดไขมันสายพันธุ์กระกูลโอเมก้า-3 ซึ่งจากการศึกษาทางแพทย์พบว่า DHA เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเซลล์สมองและจอตา ทั้งนี้ในเซลล์สมองและจอตาของคนเราประกอบไปด้วยกรดไขมันหลายชนิด แต่ DHA มีมากที่สุด 40% ของกรดไขมันในสมองและ60% ของกรดไขมันในประสาทตา EPA หรือ Eiocosapentaenoic Acid เป็นกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 อีกตัวหนึ่งที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จะมีบทบาทในการลดไขมันที่ไม่มีประโยชน์ในเลือด และการป้องกันการอุดตันของเลือด
|
||
DHAกับเด็กเล็ก เนื่องจาก DHA เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมองและประสาทตาจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการทางสมองและระบบการทำงานของสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงอายุ3-4 ขวบ เนื่องจากสมองของเด็กมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว โดยจะพัฒนาได้มากกว่า 80% ของน้ำหนักสมองของผู้ใหญ่ ภายในอายุ 3 ขวบ เด็ก ๆ ในวัยนี้จึงต้องการปริมาณของ DHA มากอย่างเพียงพอเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาสมองและสายตาอย่างเต็มที่ มีรายงานว่าทารกเกิดก่อนกำหนดจะได้รับปริมาณ DHAจากแม่ไม่เพียงพอจึงมีความผิดปกติของสายตาและการตอบสนองทางไฟฟ้าของจอตา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเสริม DHA เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาสมองและสายตาอย่างเต็มที่ |
||
DHAกับแม่ที่ตั้งครรภ์ ทารกแรกคลอดจะมีน้ำหนักสมองปริมาณ 10% ของน้ำหนักตัวเอง หรือประมาณ 350กรัมโดยมีไขมันจำเป็น DHA เป็นส่วนประกอบหลักสมอง มีสารที่จำเป็นต่อพัฒนาการของสมองของลูกน้อย ร่างกายจะดึงสารนี้จากสมองของคุณแม่ผ่านไปยังลูกน้อยในครรภ์ได้เลย อาการผิดปกติของการอ่านและสมาธิสั้นของเด็กเกี่ยวข้องกับภาวะการขาด DHA จากการวิจัยในสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่มีภาวะ ADHD(Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดกรดไขมันจำเป็น การที่เราให้เด็กรับประทานอาหารที่มี DHA ในปริมาณที่สูง จะช่วยให้เด็กมีการมองเห็นและความสนใจการเรียนรู้ได้ดีขึ้น เด็กในช่วง 6-12 ปีที่ขาดโอเมก้า-3 อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการนอนหลับและพฤติกรรมที่ผิดปกติได้ด้วย
|
||
ผลข้างเคียง เนื่องจาก DHA เป็นสารสกัดจากธรรมชาติด้วยปลาทะเล การรับประทานในปริมาณที่มากและเป็นเวลานานนั้นไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย จากการใช้ DHA ในประเทศญี่ปุ่นและประเทศแถบยุโรปมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ยังไม่เคยมีรายงานถึงผลข้างเคียงจากการใช้ DHA เลย สาร DHA และ EPA นี้เองที่จะเป็นสาระสำคัญในกระบวนการทางชีวะเคมีระดับเซลล์ที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย ตัวอย่างเช่น เยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์นั้น จำเป็นที่จะต้องอาศัยกรดไขมันดังกล่าว ในการสังเคราะห์เป็นโครงสร้างเซลล์ รวมถึงการยึดเกาะกันของเซลล์ต่างๆให้เป็นโครงสร้างที่แข็งแรงมากขึ้น |
||
นอกจากนี้กรดไขมันชนิดนี้ยังช่วยควบคุมการขนส่งสารอาหารต่างๆไปทั่วร่างกาย และยังจำเป็นต่อการป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ ได้แก่
|
||
สรรพคุณ
|
||
การรับประทาน : เติมในอาหารหรือเครื่องดื่ม ครั้งละ 3 ช้อนชา(4.2 ก.) วันละ 1ครั้ง |
||
ขนาดบรรจุ : บรรจุขนาด 100กรัม ต่อ กระป๋อง | ||
|
ราคาขาย
|
฿1,390
|
|